วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ชนเผ่าในศรีสะเกษ


พระธาตุเรืองรอง
krulop-krulop3.blogspot.com

ชนเผ่าในศรีสะเกษ

                 ประชากรชาวศรีสะเกษประกอบ ไปด้วยผู้คนหลายชาติพันธุ์ ได้แก่  ลาว เขมร ส่วย เยอ ไทย จีน แขก แต่ส่วนใหญ่เป็นชุมชนกลุ่มต่าง ๆ ที่สำคัญที่เป็นชนพื้นเมืองมาแต่ดั้งเดิมจะประกอบด้วย ลาว เขมร ส่วย เยอ
                 พัฒนาของชาติพันธุ์ในอดีต  ชุมชนโบราณที่พบร่องรอยมักเป็นเนินดินที่มีทั้งคูน้ำล้อมรอบและไม่มีคูน้ำล้อมรอบ กระจายอยู่ทั่วไป แสดงให้เห็นถึงการอยู่สืบเนื่องของผู้คนมาหลายยุคหลายสมัย ชุมชนก่อนประวัติศาสตร์ของศรีสะเกษคือ ชุมชนในยุคเหล็ก ประมาณ ๒,๕๐๐ - ๑,๕๐๐ ปีมาแล้ว
                 ชุมชนขนาดใหญ่ที่มีอายุอยู่ในสมัยทวารวดีและสมัยขอม ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๑ - ๑๘ ลงมาคือชุมชนที่มีน้ำล้อมรอบสองชั้น มีการปั้นภาชนะดินเผา และมีใบเสมาหินที่มีอายุสมัยทวารวดี มีประสาทหินกระจายอยู่จำนวนมากทั่วเขตพื้นที่ แสดงให้เห็นอิทธิพลของขอม
                  การเติบโตและการขยายตัวของประชากรน่าจะพัฒนาขึ้นในที่ราบลุ่มแม่น้ำมูล แม่น้ำชีตอนล่าง ซึ่งมีทุ่งราษีไศลเป็นส่วนหนึ่งก่อน แล้วจึงขยายตัวไปทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงที่มีเขตการคมนาคมติดต่อกับบ้านนอกภูมิภาคอื่นที่ไกลออกไป ทั้งในเขตพื้นที่ประเทศลาว เขมร และ ญวน

                  ชาวลาว ในจังหวัดศรีสะเกษ มีความสัมพันธ์กับชาวลาวในประเทศลาวเป็นอย่างมาก เพราะมีสายเลือด ภาษา ความเป็นอยู่แบบเดียวกัน แต่แยกย้ายกันด้วยการอพยพย้ายถิ่นที่เรียกกันว่าไปครัว ไปทำมาหากินในดินแดนอุดมสมบูรณ์ ดินด้ำชุ่มปลากุ่มบ้อนคือแข่แกงหาง ปลาซิวบ้อนคือขางฟ้าลั่น  ตลอดจนหนีภัยสงคราม หนีการทะเลาะวิวาท กดขี่ข่มเหงกัน และเนื่องจากประเทศลาวมีหลายเผ่าพันธุ์ การกล่าวถึงชาวลาวในจังหวัดศรีสะเกษ จึงจะกล่าวเฉพาะเผ่าไทลาวเท่านั้น ลาว หมายถึง คนไทยที่พูดภาษาลาว อันเป็นชนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่โดยทั่วไปในภาคอีสานศิลปวัฒนธรรม ประเพณี การละเล่นพื้นเมืองจึงเป็นแบบทั่วๆ ไป ที่ปฏิบัติกันในหมู่คนเหล่านี้ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

ภาพจาก:http://www.m-culture.in.th/moc_new/

                 จากประวัติศาสตร์ชาติลาว ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๗ ได้มีชนเผ่าไทจำนวนหนึ่งล่องเรือลงมาจากตอนใต้ของประเทศจีน ตามลำแม่น้ำแคว แม่น้ำอูและแม่น้ำโขง ลงมาประเทศลาว นำโดยขุนลอเข้ารบกับขุนกันฮาง จากขุนลอราชวงศ์ลาว ได้สืบทอดกันมาอีก ๒๐ รัชกาล จนถึงสมัยท้าวฟ้างุ้ม ได้สร้างอาณาจักรล้านช้างขึ้น มีพระพุทธศาสนา เป็นศาสนาประจำชาติ และวัดได้กลายเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมลาวตั้งแต่นั้นมา
                 ในสมัยอยุธยา ประเทศลาวเป็นพันธมิตรของอาณาจักรอยุธยา มีแบบการปกครองอยู่ที่นครเวียงจันทน์ พระเจ้าไชยเชษฐา ฯ ได้สร้างนครเวียงจันทน์ เป็นเมืองหลวงของลาวล้านช้าง เมื่อปี พ.ศ.๒๑๐๓
                 ในปี พ.ศ.๒๒๓๗ ทางราชสำนักเวียงจันทน์เกิดแย่งชิงอำนาจกัน พวกราชวงศ์ลาวต้องลี้ภัยการเมืองไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้มีการสถาปนาอาณาจักรลาวใต้ขึ้นมา ณ นครจำปาศักดิ์นัคบุรี มีกษัตริย์เชื้อสายลาวที่อพยพลงมาครั้งนั้นขึ้นครองราชย์ เมื่อ พ.ศ.๒๒๕๖ แล้วจัดการปกครองหัวเมืองข่าทั้งปวงในเขตลาวใต้อันได้แก่ สาละวัน จำปาศักดิ์ อัตปือ และได้ส่งคนไปตั้งเมืองถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำมูล แม่น้ำชี ถึงเมืองศรีนครเขต อยู่ในเขตจังหวัดศรีสะเกษในปัจจุบัน
                ในต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ พวกเจ้าลาวกลุ่มพระวอ พระตา ได้อพยพจากนครเวียงจันทน์ เข้ามายังบริเวณลุ่มน้ำมูล - น้ำชี
                ในปี พ.ศ.๒๓๒๑ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยกทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ จำปาศักดิ์ ได้ชัยชนะ ได้กวาดต้อนชาวเวียงจันทน์มาเป็นจำนวนมาก มาอยู่ที่ตำบลสิ ตำบลขุนหาญ อำเภอขุนหาญ ตำบลหมากเขียบ อำเภอเมือง ฯ บ้านตาอุด บ้านโสน อำเภอขุขันธ์
                หลังจากชาวลาวได้เข้ามาตั้งหลักฐานในพื้นที่ต่าง ๆ ในเขตจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดใกล้เคียง ชาวลาวส่วนใหญ่นับถือพระพุทธศาสนา ได้เผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมทางภาษา เข้าไปยังชุมชนชาวพื้นเมืองที่เป็นชาวกวย เขมร และเยอมากขึ้นเรื่อย ๆ ปัจจุบันภาษาลาวได้กลายเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารส่วนใหญ่ในเขตจังหวัดศรีสะเกษ แต่ลาวบางพวกใช้สำเนียงส่วย ที่ออกเสียงกลางเป็นเสียงตรี จึงมีการขนานนามจากชาวลาวในจังหวัดอื่นว่า ส่วยศรีสะเกษ

                  ชาวเขมร  ชาวเขมรถิ่นไทยเรียกตนเองว่า ขแมร์ เรียกภาษาและชาติพันธุ์ตนเองว่า ขแมร์ลือ แปลว่า เขมรสูง เรียกภาษาเขมร และชาวเขมรในประเทศกัมพูชาว่า ขแมร์ - กรอม แปลว่า เขมรต่ำ และเรียกคนไทยหรือคนพูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่ว่า ซีม หรือ เซียม ซึ่งตรงกับคำว่า สยาม ในภาษาไทย และคำว่า เซียม ในภาษากวย


                มีผู้พูดภาษาเขมรถิ่นไทยอยู่เป็นจำนวนมากในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และทางอำเภอของจังหวัดอุบลราชธานี นครราชสีมา ร้อยเอ็ด มหาสารคาม และบางอำเภอในภาคตะวันออกของไทยคือจังหวัดปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว
                ในปี พ.ศ.๒๕๓๗ มีประชากรชาวไทยเชื้อสายเขมรที่พูดภาษาเขมร อยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ อยู่ประมาณ ๒๘๕,๕๐๐ คน เขมร ประวัติศาสตร์ใด้กล่าวไว้ว่า ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖ - ๑๗ ชาวเขมรได้ขยายอิทธิพลเข้ามาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา ในพงศาวดารฉบับราชหัตถเลขากล่าวว่า " เมืองเขมรขยายอิทธิพลได้ยึดเอาเมืองละโว้ เมืองพิมาย เมืองสุรินทร์และเมืองขุขันธ์ (ศรีสะเกษ ) เป็นลูกหลวงปัจจุบันชาวเขมรอาศัยอยู่ในท้องที่อำเภอขุขันธ์ อำเภอกันทรลักษ์ อำเภอภูสิงห์ อำเภอปรางค์กู่ อำเภอขุนหาญ อำเภอไพรบึง อำเภอห้วยทับทัน และอำเภอศรีรัตนะ ลักษณะการแต่งกายชาย เสื้อคอกลมผ่าหน้า นุ่งโสร่งสีสันต่างๆ ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ ผ้าขาวม้าที่ใช้ลายขาวดำเล็กกว่าที่คนลาวใช้ หญิง นุ่งผ้าถุงลายตั้ง มีเชิงตามขวางสองชั้น ชั้นส่วนบนกว้าง ส่วนล่างแคบ ระหว่างรอยต่อคาดด้ายสีแดง เสื้อดำย้อมด้วยมะเกลือ แขนกระบอกรัดรูป ตามรอยตะเข็บถักด้วยสีต่างๆ ชายเสื้อผ่าทั้งสองด้าน ยาวประมาณ ๖ นิ้ว กระดุมทำด้วยเงิน ผ้าคล้องไหล่เป็นสีต่างๆ ถ้าคล้องคอนิยมหย่อนชายผ้าขาวม้าข้างหน้า
                ชาวเขมรสูงได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในเขตจังหวัดศรีสะเกษมาแต่โบราณกาลแล้ว และได้สืบเชื้อสายต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยจะอยู่ในเขตอำเภอกันทรลักษ์ ด้านที่ติดกับเขาพนมดงรักแถบบ้านทุ่งใหญ่ บ้านประทาย บ้านบึงมะลู บ้านโดนเอาว์ บ้านรุง บ้านทุ่งยาว เป็นต้น และบริเวณบ้านบักดอง บ้านพราน บ้านทุ่งเลน บ้านสำโรงเกียรติ บ้านไพร บ้านกระมัล บ้านกราม บ้านกันทรอม อำเภอขุนหาญ บ้านไพรบึง บ้านพราน บ้านสำโรงพลัน บ้านไทร บ้านไพรบึง อำเภอไพรบึง บ้านสำโรงระวี บ้านศรีแก้ว บ้านพิงพวย อำเภอศรีรัตนะ ชุมชนดังกล่าวเป็นชุมชนบริเวณโดยรอบของปราสาทเขาพระวิหาร
                อีกบริเวณหนึ่งที่มีชาวเขมรอาศัยอยู่จำนวนมากคือ บริเวณแถบที่ราบลุ่มห้วยสำราญ แถบอำเภอขุขันธ์ ปรางค์กู่ เช่น ในเขตตำบลกันทรารมย์ หัวเสือ ใจดี โคกเพชร สะเดาใหญ่ อำเภอขุขันธ์ ตำบลละลม อำเภอภูสิงห์ ตำบลตูม สำโรงปราสาท อำเภอปรางค์กู่ บ้านเมืองหลวง อำเภอห้วยทับทัน จนกระทั่งศรีสะเกษในอดีตได้ชื่อว่า เมืองเขมรป่าดง
                ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในปี พ.ศ.๒๓๒๔  เมืองกัมพูชาเกิดจลาจล จึงได้โปรดเกล้า ฯ ให้ยกทัพไปปราบ ในสงครามครั้งนี้เมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ และเมืองสังขะ ได้ร่วมยกกองทัพไปตีเมืองเสียมราฐ กำพงสวาย บันทายเพชร บันทายมาศ และได้นำชาวเขมรจำนวนมากมาไว้ที่สุรินทร์ และบุรีรัมย์
                ชาวเขมรรุ่นสุดท้าย ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๐ แต่ในช่วงที่เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ กลับมาเป็นของไทยช่วงสงครามเอเชียบูรพา ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๕ มีคนไทยที่เป็นชาวศรีสะเกษจำนวนหนึ่งไปตั้งถิ่นฐานในกัมพูชา อย่างใดก็ตามในช่วงที่เกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชากรณีปราสาทเขาพระวิหาร ราว พ.ศ. ๒๕๐๐ – ๒๕๐๕ รัฐบาลไทยในสมัยนั้นยังมีนโยบายรับชาวเขมรที่ไม่ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ เข้ามาตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินไทย จึงทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างคนไทยกับกัมพูชาบริเวณชายแดนศรีสะเกษจึงมีอยู่ตลอดมา
                ชาวเขมรสูง ส่วนมากอยู่ในชนบทมีชีวิตเรียบง่าย ประกอบอาชีพเกษตรกรรม หนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ว่างจากการทำนา ทำไร่ จะเดินทางไปรับจ้างทำงานในตัวเมือง และในกรุงเทพ ฯ เมื่อถึงฤดูเพาะปลูกก็จะเดินทางกลับภูมิลำเนา ประกอบอาชีพหลักของตน

                  ชาวส่วย (กูย)  มีกระจายอยู่หลายจังหวัดทางภาคอีสานตอนล่าง ที่มีอยู่หนาแน่นได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๐  จังหวัดศรีสะเกษ ยังเป็นเมืองที่มีชาวส่วย (เรียกตนเองว่า กูย กุย โกย หรือกวย )  อาศัยอยู่กันทั้งเมือง มีพวกลาวเวียง (สาขาเวียงจันทน์) ปะปนอยู่บ้างบางหมู่บ้าน แต่วัฒนธรรมของชาวลาวได้เข้ามามีอิทธิพลในหมู่ชาวส่วย จึงทำให้มีการผสมผสานวัฒนธรรม

ภาพจาก huso.sskru.ac.th 

                    ภาษาส่วย  เป็นกลุ่มภาษาเดียวกับภาษามอญ - เขมรสาขาหนึ่ง ชาวส่วยแต่ละถิ่นจะมีการใช้สำเนียงภาษาที่แตกต่างกันไป แต่ถ้าหากใช้ระบบเสียงมาเป็นเกณฑ์ ในการแบ่งอาจแบ่งภาษาส่วยออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่คือ กลุ่มภาษากูย (กุย - กูย) และกลุ่มภาษากวย (กูย - กวย)  ปัจจุบันชาวส่วยส่วนใหญ่พูดได้ทั้งภาษากูย และภาษาไทยกลาง ในชุมชนส่วยที่ไม่มีผู้พูดภาษาไทยถิ่นอีสาน จะไม่มีการใช้ภาษาไทยถิ่นอีสาน ในชุมชนส่วยที่มีคนเขมร และคนลาวอาศัยปะปนกัน จะพูดภาษากันและกันได้
                     คนไทยรู้จักพวก กวย กุย กูย ในฐานะชนชาติหนึ่งมานานแล้ว ในกฎหมายลักษณะอาญาหลวง พ.ศ.๑๙๗๔ ในรัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา)  ได้ประกาศห้ามยกลูกสาวให้แก่คนต่างชาติ ต่างศาสนา ได้แก่ ฝรั่งเศส อังกฤษ กบิตัน วิลันดา กุลา ชวา มลายู แขก กวย แกว และในมาตรา ๒๕ ของกฎหมายปีเดียวกันนั้น ก็กล่าวถึงชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศสยาม ว่ามีแขกพราหมณ์ ญวน (แกว) ฝรั่ง อังกฤษ จีน จาม วิลันดา ชาว มลายู กวย ขอม พม่า รามัญ
                     ชาวส่วยชอบอพยพเคลื่อนย้ายอยู่เสมอ เพื่อแสวงหาที่ดินอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูก การอพยพเข้ามาในประเทศไทยทางตอนล่างของภาคอีสาน เริ่มแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ฯ (พ.ศ.๒๑๙๙ - ๒๒๓๑)  และได้มีการอพยพครั้งใหญ่เข้ามาในเขตจังหวัดสุรินทร์ และศรีสะเกษ ในปลายสมัยอยุธยาจนถึงสมัยธนบุรี (พ.ศ.๒๒๔๕ - ๒๓๒๖) ชาวส่วยแต่ละกลุ่มอพยพมาตั้งหลักแหล่ง หรือหาบริเวณล่าช้างแหล่งใหม่ เพราะมีความชำนาญในการเดินป่า และฝึกช้าง การอพยพได้หยุดลง ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
                     ความเชื่อทางศาสนาของชาวส่วย มีลักษณะผสมผสานระหว่างพระพุทธศาสนากับการนับถือผี ในชุมชนชาวส่วยจะมีทั้งวัดและศาลผีประจำหมู่บ้าน บนบ้านจะมีหิ้งบูชาผีบรรพบุรุษ บางบ้านจะสร้างเป็นศาลผีบรรพบุรุษไว้ใกล้กับศาลเจ้าที่ บ้านส่วนใหญ่จะมีห้องบูชาพระพุทธรูปไว้ในบ้าน และจะสร้างศาลผีบรรพบุรุษไว้ใกล้บ้าน การเซ่นผีบรรพบุรุษจะทำอย่างน้อยปีละครั้ง
                     ส่วย เดิมเรียกว่า "กวย หรือ "กุย" ตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณเมืองอัตปือแสนแป (ประเทศลาวในปัจจุบัน ) ต่อมาถูกพวกลาวแย่งที่ทำกิน จึงอพยพข้ามแม่น้ำโขงเข้ามาอาศัยอยู่ในเขตอีสานใต้ พวกส่วยกลุ่มหนึ่งนำโดย " ตากะจะและเชียงขัน " ได้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปราสาทสี่เหลี่ยมดงลำดวน ( ปัจจุบันคือบ้านดวนใหญ่ ) ปัจจุบันนี้พวกส่วยได้กระจายอยู่ตามพื้นที่อำเภอต่างๆ ในจังหวัดศรีสะเกษ ได้แก่ อำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอน้ำเกลี้ยง อำเภอกันทรารมย์ อำเภอกันทรลักษ์ อำเภอขุนหาญ อำเภอศรีรัตนะ อำเภอไพรบึง อำเภอขุขันธ์ อำเภอปรางค์กู่ ลักษณะการแต่งกาย ชาย เสื้อคอกลมผ่าหน้า นุ่งโสร่งสีสันต่างๆ หรือกางเกงขาก๊วยสั้น ผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ หญิง นุ่งผ้าถุง มีเชิง หรือไม่มี ผ้ามัดหมี่หรือผ้าฝ้าย เสื้อแขนกระบอกสีสันต่าง ๆ ผ้าเบี่ยงเป็นผ้าขาวม้าหรือผ้าลายลูกแก้วสีครีมดำ

ชาวส่วยเป็นกลุ่มชาติพันธุ์เดียวกันกับชาวกูยซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธ์หนึ่งที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ประเทศอินเดีย ที่อพยพมาตั้งถิ่นบริเวณตอนเหนือเมืองกำปงธม ประเทศกัมพูชา เป็นชนชาติที่พูดภาษา ตระกูลมอญ-เขมร  ชาวส่วยมีแต่ภาษาพูด ไม่มีภาษาเขียนหรือตัวอักษรที่เป็นของตนเอง  ลักษณะทั่วไป  จะผิวดำ  ผมหยิก  สูงปานกลาง  ร่างบึกบึน  ชาวส่วยที่ผสมกับพวกนิกรอยด์  ผมจะหยิกมาก  และสีผิวดำมาก  ส่วนที่ผสมกับกลุ่ม ไทย-ลาว  จะมีผิวขาว ชาวส่วยมีการผสมกลมกลืนกับชนชาติอื่นๆจนทำให้เกิดลักษณะทางร่างกายเปลี่ยน แตกต่างจากเดิม ในช่วงพุทธศตวรรษที่  ๒๐ เขมรได้ใช้อำนาจทหารปราบรัฐอิสระของชาวส่วย เพื่อผนวกอาณาจักรเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งทำให้ชาวส่วยต้องอพยพหนีเพื่อแสวงหาที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูก  จึงมีการอพยพขึ้นเหนือ สู่เมืองอัตปือ แสนแป จำปาศักดิ์และสารวัน จากหลักฐานพงศาวดารเมืองสุรินทร์ ชาวส่วย ได้อพยพโยกย้ายมาจาก อัตปือ แสนแป แคว้นจำปาศักดิ์ และมีการกระจายกันไปหลายกลุ่ม ซึ่งส่วนหนึ่งบอกไว้ว่า ได้ย้ายไปตั้งถิ่นฐานแถบ อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ คนส่วยอพยพเข้าไทยครั้งใหญ่ในสมัยปลายอยุธยา(พ.ศ.๒๒๔๕) และมีหัวหน้าของตนเอง  คนพื้นถิ่นไทยเรียกชาวส่วยว่า “เขมรป่าดง”  และชาวส่วยเรียกตนเองว่ากุย กูย โกย หรือกวย แปลว่า “คน” ปัจจุบัน พบคนกูย  ได้ในเขต จังหวัด บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ นครราชสีมา มหาสารคาม อุบลราชธานี และสุพรรณบุรี  ชาวส่วยที่อาศัยในภาคอีสานของไทยนั้น เรียกตัวเองว่ากุย หรือกวย แบ่งออกเป็น  ๔ กลุ่มด้วยกัน โดยใช้คำว่ากุยนำหน้า คือ

1.      กุยมะไฮ  อาศัยอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี  อาศัยอยู่ใกล้ภูเขา และเรียกตนเองว่า ชาวบรู อยู่เขตอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี

2.      กุยมะลอ  อาศัยอยู่ในเขตจังหวัดอุบลราชธานี และศีรษะเกษ

3.      ชาวกุยโย หรือ เยอ  อาศัยอยู่ในจังหวัดอุบลราชธานี และศรีษะเกษ

4.      ชาวกูยมะลัว  หรือมะหลั่ว  อาศัยอยู่จังหวัดศรีษะเกษ และสุรินทร์

           ชาวส่วย มีลักษณะนิสัยเป็นคนสุภาพ  อ่อนน้อม  และซื่อสัตย์ ด้วยสภาพการตั้งถิ่นฐานที่ปนอยู่กับชาวเขมรและชาวลาวทำให้ถูกกลืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม  บ้านของชาวส่วยจะมีลักษณะใต้ถุนสูง  ด้านหน้าสูงไว้เลี้ยงช้าง  ใต้ถุนใช้เป็นที่วางหูกทอผ้าวางกระด้ง  และวัสดุเครื่องใช้สานด้วยหวายหรือไม้ไผ่

            ชาวส่วย มีความเชื่อนับถือวิญญาณ ได้แก่ ภูตผี เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา และมีความเชื่อเรื่องปอบและเรื่องขวัญ  ในหมู่บ้านจะมีแม่เฒ่าทำหน้าที่ดูแลความเจ็บไข้  เพราะชาวเพราะเชื่อว่าการเจ็บไข้  เกิดจากการกระทำของผี  จึงมีการอ้อนวอนให้ผีพอใจ  โดยมีการรำ ผีมอ ผู้ที่รำผีมอต้องผ่าพิธีไหว้ครู ครอบครู นอกจากนี้ชาวกูยยังมีพิธีไหว้พระแข สันนิษฐานว่า เป็นพิธีที่ได้รับอิทธิพลจากเขมร  เป็นพิธีเสี่ยงทายเพื่อดูปริมาณน้ำฝนที่ตกในเดือนต่าง ๆ นอกจากนี้ ยังนิยมเลี้ยงช้าง ซึ่งสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ  ชาวส่วยจะออกไปจับช้างในป่าด้วยการคล้องช้าง เรียกว่า “โพนช้าง” เป็นการจับช้างโดยหมอช้าง ใช้บ่วงบาศก์ที่เรียกว่า “เชือกประกำ” ทำจากหนังควายถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่สิงสถิตของดวงวิญญาณ บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์คล้องเท้าช้าง แล้วผูกกับต้นไม้ นำช้างมาฝึกใช้งาน  การคล้องช้างมีปีละครั้ง ช่วงเดือน  ๑๑-๑๒ ช้างที่ตายลงจะมีการฝังอย่างดี และจะขุดกระดูกขึ้นมาทำพิธีอุทิศส่วนกุศล ไปให้

            การแต่งกายของชาวส่วย หญิงสูงอายุจะนุ่งผ้าที่มีลายใส่เสื้อคอกระเช้า ใส่สร้อยคอลูกปัดเงิน นิยมใส่ดอกไม้หอมไว้ที่ติ่งหู  นิยมทอผ้า เช่น ผ้าจิกกะน้อย  เป็นผ้าที่มีลักษณะคล้ายผ้าหางหระรอกมีสีเดียวเป็นผ้าสำหรับผู้ชายนุ่งในพิธีการที่สำคัญ  ลักษณะการนุ่งจะนุ่งพับจีบด้านหน้า  เหมือนการนุ่งโสร่ง  ผ้านุ่งของหญิง นิยมทอหมี่คั่น เป็นทางแนวดิ่งยืนพื้นสีน้ำตาล หัวซิ่นเป็นพื้นแดงลายขิด ตีนซิ่นสีดำมีริ้วขาวเหลืองแดง  และมี ผ้าจะกวี  เป็นผ้าคล้ายอันลูซีม ของเขมรเป็นลาทางยาว เป็นผ้าที่ผู้หญิงใช้นุ่งในงานสำคัญๆ

            ชาวส่วยรับประทานข้าวจ้าวเป็นอาหารหลัก และรับประทานข้าวเหนียวเป็นบางครั้ง อาหารที่พบเห็นและรับประทานเป็นประจำได้แก่  ตำพริก แกงกบ อาหารอื่นๆ ได้แก่ เขียด กิ้งก่า เอามาสับ ย่างและตำน้ำพริก มดแดงเอามาคั่วใส่พริก มะนาว น้ำปลา กะปิ เกลือ เป็นต้น  อาหารดิบที่บริโภค กุ้งฝอย ปลาซิว เรียก “กาผุห์” ผู้หญิงสูงอายุนิยมเคี้ยวหมากและพลู นอกจากนี้ยังเก็บลูกไม้ชนิดหนึ่งมาเคี้ยวกับหมาก เรียกว่า “ปลัยการ” ชาวส่วยมีการเลี้ยงหมู เป็ด ไก่ และมีการล้มวัวควาย ในงานพิธีต่างๆ เช่น เซ่นไหว้บรรพบุรุษ งานบวช เป็นต้น

ภาพจาก www.isangate.com


               ชาวเยอ  เป็นชาวพื้นเมืองกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มภาษามอญ - เขมร  เรียกตนเองว่า กวย มีความหมายว่า คน ชาวเยอจัดอยู่ในกลุ่มของชาวกูย มีภาษาพูดเดียวกัน มีบางคำเท่านั้นที่แตกต่างกัน  ชาวเยอทั่วไป จะสูงประมาณ ๑๖๕ เซนติเมตร ผิวดำแดง การตั้งหมู่บ้านส่วนใหญ่จะตั้งในเขตใกล้ลำน้ำ หรือลำห้วย ชาวเยอในแต่ละหมู่บ้านมีความสัมพันธ์ในลักษณะเครือญาติ ปกติชาวเยอมีอาชีพทำนา แต่บางส่วนมีความชำนาญด้านการช่าง เยอ ปัจจุบันนี้ชนกลุ่มนี้อาศัยอยู่ในอำเภอเมืองศรีสะเกษ อำเภอไพรบึง อำเภอราษีไศล อำเภอพยุห์ และบางส่วนของอำเภอศิลาลาด ลักษณะการแต่งกาย ชาย นุ่งโสร่งหรือผ้าสีต่างๆ เป็นโจงกระเบนมีผ้าขาวม้าคาดเอวหรือคล้องไหล่ เครื่องประดับมีสร้อยคอ หญิง เสื้อแขนกระบอก คอกลมหรือคอตั้งสีสันต่าง ๆ นุ่งผ้าถุงโจงกระเบนมีเสื้ออยู่ด้านในสีสันต่าง ๆ แต่ไม่มีลวดลาย มีตุ้มหูเป็นเครื่องประดับ
                 ตำนานชาวเยอ ในจังหวัดศรีสะเกษ เริ่มต้นที่พญากตะศิลา เป็นหัวหน้า นำคนเผ่าเยออพยพมาโดยทางเรือ มาตั้งเมืองคงโคก หรือเมืองคงในอำเภอราษีไศลปัจจุบัน ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูล
                   
                  ชาวจีน  ชาวจีนที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในประเทศไทย เป็นพวกที่มาจากบริเวณฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน คือ บริเวณมณฑลฟูเกี้ยน มณฑลกวางตุ้ง และเกาะไหหลำ  บริเวณพื้นที่ตอนนี้ส่วนใหญ่เป็นภูเขา มีที่ราบทำการเพาะปลูกได้น้อย เนื่องจากมีภูเขาคั่นอยู่ทำให้การติดต่อภายในประเทศ ไม่สะดวกจึงอพยพไปตั้งหลักแหล่งทำมาหากินในต่างประเทศ


                          ชาวจีนเริ่มอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ในปลายสมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และต้นสมัยรัตนโกสินทร์ ส่วนใหญ่อพยพมาจากมณฑลทางใต้
                    ในระยะแรก ชาวจีนส่วนใหญ่ได้มาตั้งหลักแหล่งอยู่ตามหัวเมืองชายทะเลของอ่าวไทย ตั้งแต่อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ไปจนถึงไทรบุรีในภาคใต้ ส่วนในภาคกลางได้มาตั้งหลักแหล่งอยู่ตามลำน้ำบางปะกง จนจดปราจีนบุรี รวมทั้งตามลำน้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีนไปจนถึงปากน้ำโพ และตามลำน้ำแม่กลอง ไปจนถึงกาญจนบุรี เฉพาะในกรุงเทพ ฯ เป็นแหล่งใหญ่ศูนย์กลางของสังคมชาวจีน และมีอยู่ถึงครึ่งหนึ่งของคนจีนในไทย
                    ชาวจีนที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยมีอัตราสูงสุดในห้วงเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จำนวนคนจีนในไทย ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๖๑ - ๒๔๗๔ มีอยู่ประมาณ ๑.๕ ล้านคน ต่อมาระหว่างปี พ.ศ.๒๔๗๕ - ๒๔๘๘ มีชาวจีนเข้าเมืองในอัตราต่ำมาก อันเป็นผลมาจากสงครามจีน - ญี่ปุ่น และสงครามมหาเอเชียบูรพา รวมทั้งนโยบายของรัฐบาลไทยในการกีดกันชาวจีนเข้าประเทศ หลังสงครามมหาเอเซียบูรพา ระหว่าปี พ.ศ.๒๔๘๙ - ๒๔๙๘ มีชาวจีนอพยพเข้ามาในประเทศไทย เพิ่มมากขึ้นและเพิ่มขึ้นในทันที ที่สงครามสงบลงในปี พ.ศ.๒๔๘๙  ในปี พ.ศ.๒๔๙๐ ได้มีการตกลงกันระหว่างรัฐบาลไทย กับรัฐบาลจีน ชาวจีนได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศไทยได้ปีละ ๑๐,๐๐๐ คน แต่พอถึงปี พ.ศ.๒๔๙๒ รัฐบาลไทยได้ลดลงเหลือปีละ ๒๐๐ คน และในปีต่อมา รัฐบาลไทยได้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมคนต่างด้าวในอัตราสูงขึ้น
                    ชาวจีนในจังหวัดศรีสะเกษเกือบทั้งหมดเป็นจีนแต้จิ๋ว ส่วนใหญ่เป็นญาติพี่น้องกัน ชาวจีนกลุ่มแรกเข้ามาอยู่ในจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๐ โดยเดินทางจากจังหวัดนครราชสีมาด้วยกองคาราวานเกวียน และบางกลุ่มด้วยการล่องเรือตามลำน้ำมูล มาขึ้นฝั่งที่เมืองราษีไศล แล้วเดินทางต่อด้วยเกวียนไปยังตัวเมืองศรีสะเกษ ใช้เวลาประมาณ ๑ เดือน ในหน้าน้ำก็จะล่องทวนน้ำห้วยสำราญไปขึ้นฝั่งที่ท่าบ้านพันทา และท่าทางเกวียน เขตตำบลโพธิ์ อำเภอเมืองศรีสะเกษ และเมื่อมีทางรถไฟ การอพยพของชาวจีนก็มีมากขึ้น อาชีพของชาวจีนคือการค้าขาย โดยเปิดร้านขายของ ดังนั้น แม้แต่คนไทยไปเปิดร้านขายของก็ถูกเรียกว่าเจ๊ก เช่น เจ๊กสี เจ๊กมา เจ็ก ดี ทั้งที่บุคคลผู้นั้นเป็นคนลาว คนส่วย คนเยอหรือคนเขมร ก็ตาม แต่มีอาชีพเปิดร้านขายของในชนบทถูกเรียกว่าเจ๊กทั้งสิ้น
   บริเวณที่ตั้งของจังหวัดนี้เคยเป็นอู่วัฒนธรรมโบราณ มาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ตอนปลาย จนเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ได้แก่วัฒนธรรมทวารวดี,อาณาจักรขอมหรือเขมรโบราณ,ล้านช้าง,อยุธยา และ รัตนโกสินทร์ ตามลำดับ เช่นเดียวกับพื้นที่อื่นๆ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากหลักฐานทางโบราณคดีที่บ้านหลุบโมก ตำบลเมืองคง อำเภอราษีไศล พบร่องรอยเมืองโบราณมีคูน้ำและคันดินล้อมรอบสองชั้น ภายในเมืองมีซากโบราณสถานและใบเสมาอันแสดงถึงร่องรอยการนับถือพุทธศาสนา นอกจากนี้ยังพบปราสาทและปรางค์กู่อีกหลายแห่ง โดยเป็นศิลปะเขมรราวพุทธศตวรรษที่ 13-17 รวมทั้งชุมชนเขมรโบราณ เช่น แหล่งโบราณคดีในเขตปราสาทสระกำแพงใหญ่ ซึ่งอยู่รอบๆบารายหรือแหล่งน้ำขนาดใหญ่ประจำชุมชนเขมรโบราณใน อำเภออุทุมพรพิสัย, แหล่งโบราณคดีบ้านหัวช้าง อำเภอไพรบึง ซึ่งพบชิ้นส่วนภาชนะดินเผาชนิดเนื้อแกร่ง ตกแต่งผิวด้วยการเคลือบสีน้ำตาล ตลอดจนสิ่งของเครื่องใช้ที่ทำด้วยโลหะ

ไม่มีความคิดเห็น: